เคล็ดลับดูแลบ้านให้ปลอดภัยจากเชื้อโรค
เคล็ดลับดูแลบ้านให้ปลอดภัยจากเชื้อโรค
ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID ทำให้ต่างคนต่างหันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น มีการสวมใส่หน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อลดการติดต่อของโรค และเพื่อทำให้ร่างกายมีความปลอดภัยห่างไกลจากโรคร้ายมากที่สุด
นอกเหนือจากการดูแลตัวเองนอกบ้านแล้ว การรักษาความสะอาดภายในบ้านก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อคุณจำเป็นต้องออกไปภายนอกเพื่อพบเจอกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ หรือพบเจอกับผู้คนต่างๆมากมาย อาจจะทำให้เพิ่มโอกาสการสัมผัส หรือมีเชื้อโรคบางอย่างที่ปนเปื้อนติดตัวคุณมา เมื่อคุณกลับมาบ้านและไม่ได้รับการทำความสะอาดทันที ก็อาจจะทำให้เชื้อโรคนั้นๆปะปนหรือติดอยู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องตกแต่งบ้าน หรือวัสดุต่างๆภายในบ้านของคุณ
ดังนั้น เราทุกคนจึงต้องรู้วิธีการที่ถูกต้องที่จะทำความสะอาดบ้านหรืออุปกรณ์ต่างๆภายในบ้าน เพื่อให้แน่ใจว่าบ้านของคุณนั้นสะอาดและปราศจากเชื้อโรคจริงๆ อยู่แล้วปลอดภัยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงในบ้าน และจะต้องทำให้แน่ใจว่าบ้านของคุณเป็นบ้านที่สามารถอยู่ได้อย่างมั่นใจว่าจะไม่มีเชื้อโรคใดๆสะสมอยู่ ณ ส่วนใดส่วนหนึ่งในบ้าน
วันนี้…เราจึงอยากจะมาแนะนำวิธีในการที่จะทำความสะอาดของใช้ต่างๆในบ้านกัน ว่าควรที่จะต้องทำความสะอาดหรือดูแลอย่างถูกวิธีอย่างไรบ้าง เพราะเพียงแค่การปัดฝุ่นหรือใช้ผ้าสะอาดเช็ดถูตามเดิม อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการกำจัดเชื้อโรค จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกรรมวิธีพิเศษที่เข้ามาช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นไปอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
1 อุปกรณ์ที่มีการสัมผัสบ่อย
ในบ้านของเราจะมีอุปกรณ์บางอย่างที่เราจำเป็นต้องสัมผัสมันบ่อยๆ แต่ไม่เคยสนใจว่ามันจะสกปรกเพียงใด ซึ่งการมองข้ามสิ่งเหล่านี้จะเป็นช่องทางสำคัญที่เชื้อโรคจะเข้าทำร้ายคุณได้อย่างง่ายดาย อุปกรณ์ต่างๆที่เราจำเป็นที่จะต้องสัมผัสบ่อยๆในทุกๆวัน ยกตัวอย่างเช่น รีโมททีวี รีโมทแอร์ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์ สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์ที่แทบจะต้องมีการสัมผัสเกือบตลอดทุกวัน เพราะเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่มีความสัมพันธ์อย่างมากต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน
การทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้จึงจะต้องเข้มข้นมากกว่าปกติ การทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าจึงยังไม่เพียงพอที่จะทำให้มั่นใจว่าปลอดเชื้อโรคได้จริงๆ ดังนั้น เราจึงแนะนำให้คุณหมั่นใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70 ถึง 90% เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวของอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้อยู่เสมอในทุกๆวัน ยิ่งถ้าคุณมีสมาชิกในบ้านจำนวนมากแล้วด้วย ยิ่งต้องใส่ใจดูแลอุปกรณ์เหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะถือเป็นอุปกรณ์ที่คนในบ้านมักใช้ร่วมกันอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดโอกาสการติดเชื้อจากคนสู่คน โดยผ่านอุปกรณ์เหล่านี้เป็นสื่อตัวกลางนั่นเอง
2 อุปกรณ์อื่นๆที่ไม่ได้สัมผัสบ่อย
สำหรับอุปกรณ์อื่นๆที่อาจไม่ได้มีการสัมผัสบ่อยเท่ากับหัวข้อแรก เช่น โต๊ะ ตู้ หรือของแต่งบ้านอื่นๆ สิ่งต่างๆเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่คนเราไม่ได้สัมผัสทุกวัน ทำให้โอกาสการเป็นสื่อนำเชื้อโรคน้อยลง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย เราจึงต้องหมั่นทำความสะอาดด้วยเช่นกัน โดยอาจจะใช้เป็นน้ำยาพ่นฆ่าเชื้อและใช้ผ้าสะอาดเช็ดตาม ทำความสะอาดด้วยความถี่ทุกๆสัปดาห์ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณและครอบครัวของคุณเอง

3 เสื้อผ้า
เสื้อผ้าถือเป็นของใช้ส่วนตัวหรือสิ่งที่สัมผัสและคอยปกป้องร่างกายของเราโดยตรง เวลาที่เราจะต้องออกไปข้างนอกบ้าน เสื้อผ้าจะเป็นเครื่องปกป้องภายนอก ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่จะมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคมากที่สุด การทำความสะอาดเสื้อผ้าจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรคระหว่างเสื้อผ้าที่สะอาดและสกปรก
หากต้องการที่จะฆ่าเชื้อโรคในเสื้อผ้าให้สมบูรณ์ การซักผ้าควรใช้น้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60-90 องศาเซลเซียส พร้อมไปกับการตากแดดจัดหลังการซักผ้า ก็จะใช้ความร้อนทั้งการซักและการตากที่อุณหภูมดังกล่าวนี้ จะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสต่างๆออกไปได้ดีกว่าการซักผ้าโดยวิธีการปกติ
โดยเฉพาะการซักทำความสะอาดหน้ากากผ้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่ควรทำคือการซักมันทันทีที่กลับถึงบ้านและแยกซักกับผ้าชิ้นอื่นๆ โดยไม่ทิ้งสะสมรวมกับผ้าชิ้นอื่นๆในตระกร้าหลายๆวันก่อนที่จะทำความสะอาด เพราะหากคุณซักทำความสะอาดด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม และเกิดได้รับเชื้อโรคมาจากนอกบ้านจริงๆ การซักอาจเป็นหนึ่งในวิธีการที่กระจายเชื้อโรคให้มากขึ้น แทนที่จะเป็นการกำจัดเชื้อโรคให้หายไป
นี่เป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นที่อยากให้คุณลองเอาไปปรับใช้กับการดูแลตัวเองที่บ้าน ที่คอนโด หรือที่อยู่อาศัยของคุณ เพราะนอกจากจะดูแลตัวเองได้ดีแล้ว ก็จะต้องมีการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ดีด้วย หากขาดการดูแลอย่างใดอย่างหนึ่งไป คุณก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้ออื่นๆ ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม และจะกลายเป็นปัญหาแห่งความเจ็บป่วยที่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเจอ
ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีวัคซีนตัวใดที่ป้องกันโรคร้าย หรือไม่มียารักษาตัวไหนที่ทำให้หายขาด เราต้องรีบปรับพฤติกรรมกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในอนาคต